สำหรับคนรักป่า คุณน่าจะดีใจเหมือนกับผมเมื่อกฏ anti-deforestation ได้ถูกบังคับใช้แล้วใน EU
ไม่ใช่แค่ carbon emissions ใน supply chain เท่านั้นที่ EU ให้ความสนใจ แต่ตอนนี้บวกเรื่องการตัดไม้ทำลายป่าเข้าไปด้วยด้วย ตั้งแต่สิ้นปี 2024 ธุรกิจใน EU จะต้องระบุที่มาของผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของเนื้อวัว โกโก้ กาแฟ น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง ยางและไม้ และจะต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่าพื้นที่ที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์และปลูกพืชดังกล่าวไม่ได้เป็นพื้นที่ป่ามาก่อนนับตั้งแต่ปี 2020
เพราะมันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พื้นที่ป่าของโลกหายไป เนื่องจากพื้นที่การเกษตรนั้นมีจำกัด แต่ดีมานด์สินค้ากลับเพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับสภาพความเป็นเมืองที่ขยายตัวต่อเนื่อง (urbanization) ทำให้พื้นที่การเกษตรที่จำกัดอยู่แล้วก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ทำให้มีการบุกรุกป่าเพื่อปลูกพืชและทำปศุสัตว์ดังกล่าวเพื่อป้อนระบบอุตสาหกรรม (เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ Food Security ไว้โอกาสหน้ามาเล่าให้ฟังนะครับ)
ในปี 2022 ทั้งโลกสูญเสียพื้นที่ป่าไป 4.1 ล้านเฮกตาร์ (1 เฮกตาร์ เท่ากับ 10,000 ตารางเมตร) หรือ ทุกๆ 1 นาทีเราเสียพื้นที่ป่าเท่ากับสนามฟุตบอล 11 สนาม ตามรายงานของ World Resources Institute และการสูญเสียพื้นที่ป่านี้แหล่ะทำให้เกิด Global Warming คิดเป็น 10% จากสาเหตุที่ทำให้โลกร้อนทั้งหมด ตามรายงานของ World Wildlife Fund
คาดการณ์กันว่าเกือบ 40% ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก 500 อันดับแรกที่ได้รับผลกระทบจากกฎนี้ ไม่ได้มีมาตรการเกี่ยวกับการบุกรุกทำลายป่า โดยที่บริษัทที่ละเมิดกฎนี้จะถูกปรับสูงสุดถึง 4% ของรายได้จากธุรกิจใน EU ทั้งหมด
ในอเมริกาเองก็มีการเคลื่อนไหวลักษณะนี้เช่นกัน โดยพรรค Democrats พยายามผลักดันให้เกิดกฎหมาย Forest Act. เพราะหากอเมริกาไม่ทำตาม EU “ตลาดอเมริกาก็จะกลายเป็น dumping ground สำหรับกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไม่ผ่านมาตรฐาน EU”
เมื่อ EU และอเมริกาเปลี่ยนไป ซัพพลายเชนเกือบทั้งโลกก็จะปรับตาม หวังว่าเราจะมีป่าสวยๆไว้ได้ชมและเที่ยวกันไปอีกหลายเจนเนอเรชั่นนะครับ
Title : EU anti-deforestation
Sustainable Development Goal : Responsible Consumption and Production, Climate Action, Life on Land
Writer : ยอด Co-founder, Goodwill Compounding
Souce : Wall Street Journal
เครดิตภาพ : Well+Good
https://images.app.goo.gl/fhwwLa8NUnH1QJtn9